Madoka Magica Fanfiction “ฉันนี่มันโง่ไม่เปลี่ยนเลย จริง"
ครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตของฉัน ฉันได้พบกับเด็กสาวที่มีจิตใจงดงามคนหนึ่ง เธอได้สละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยให้ตัวฉันและโลกใบนี้ปลอดภัย
ผู้เข้าชมรวม
1,835
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Mahou Shojo Madoka Magica Fanfiction
อีกหนึ่งบทสรุปของเรื่องราว Sayaka Route “ฉันนี่มันโง่ไม่เปลี่ยนเลย จริงๆ”
“ครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตของฉัน ฉันได้พบกับเด็กสาวที่มีจิตใจงดงามคนหนึ่ง เธอได้สละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยให้ตัวฉันและโลกใบนี้ปลอดภัย”
ครั้งแรกที่เราได้เจอกัน เธอเป็นคนที่ดูไม่น่าคบหาเลยซักนิด ทั้งด้วยคำพูดแต่ล่ะคำที่แสนจะหยาบกระด้าง เต็มไปด้วยคำดูถูกดูหมิ่น ในตอนที่ฉันสู้กับศัตรูของฉันอยู่ดีๆ เธอได้พุ่งเข้ามาซัดฉันซะอย่างหน้าตาเฉย พร้อมทั้งยังเคี้ยวไทยากิตุ้ยๆ พูดจาสั่งสอนฉันที่กำลังหมอบกลิ้งอยู่กับพื้นซะยังกับว่า ตัวฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอซะอย่างนั้นล่ะ
แม้จะนึกแค้นใจอยู่ลึกๆ แต่ตัวฉันนั้นเทียบเธอไม่ติดเลยจริงๆ ไม่ว่าจะด้านไหนๆ เธอก็ดูเหนือกว่าฉันไปซะหมด ถึงแม้จะเจ็บใจ และก็ยอมรับความจริงไม่ได้ แต่เธอคนนั้นก็กลับเป็นคนๆ เดียวที่เข้ามาอยู่เคียงข้าง ในเวลาที่ฉันกำลังสิ้นหวังและกลายร่างเป็นปีศาจร้าย แม้กระทั่งในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่เราทั้งสองได้ชีวิตคืนมาราวกับปาฏิหาริย์ เธอก็ยังเลือกที่จะสละชีวิตของเธอเองอีกครั้งเพื่อที่จะช่วยให้คนไม่เอาไหนอย่างฉันได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
ปี๊บๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงลั่นขึ้นมาเสียจนแสบแก้วหู ตัวฉันที่ลุกขึ้นมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ก็ได้ยื่นมือออกไปกดปิดมันซะ ก่อนที่จะทอดสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง ด้วยแสงแดดอ่อนๆของฤดูใบไม้ผลิที่ส่องเข้ามา ประกอบกับท้องฟ้าสีครามที่สว่างสดใส มันควรจะเป็นอีกวันหนึ่งที่เหมาะแก่เริ่มต้นอะไรใหม่ แต่ทว่าตัวฉันจมอยู่กับฝันร้ายมาโดยตลอดนี้ กลับไม่รู้สึกอยากเริ่มอะไรขึ้นมาเลยทั้งสิ้น
นับตั้งแต่ที่การต่อสู้ในวันนั้นได้จบลง สิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจของฉันคือความรู้สึกที่ว่างเปล่า ไม่มีแม่มดที่จะต้องคอยกำจัดอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ตัวฉันจะไม่สามารถได้ชีวิตกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม แต่ก็สามารถหยุดการผลาญพลังงานของอัญมณีวิญญาณได้เป็นผลสำเร็จ ทั้งๆที่ทุกอย่างมันก็น่าจะจบด้วยดีแล้วแท้ๆ แต่ทว่ามันก็ทำให้ฉันกลับต้องเสียเพื่อนคนสำคัญไปคนหนึ่งเช่นกัน
ทั้งๆที่ได้รับโอกาสที่จะได้แก้ตัวอีกครั้ง แต่ก็ยังล้มเหลวอีกจนได้ แม้จะมีพลังนี้อยู่ในมือ แต่ก็กลับทำประโยชน์ให้ใครไม่ได้เลย มิหนำซ้ำยังพลอยสร้างแต่ปัญหาให้คนอื่นๆอื่นต้องมาลำบากด้วยซะอีก ทำไมกันล่ะ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ยอมรับไม่ได้...แบบนี้น่ะ ฉันยอมรับมันไมได้หรอก
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...ซายากะจัง ขอโทษนะ พอดีฉันลืมว่าไปเสียสนิทเลย ว่าเช้านี้มีเวรทำความสะอาดน่ะ”
เสียงใสๆของเด็กสาวคนหนึ่งที่ฉันคุ้นเคยดีแว่วขึ้นมาจากทางด้านหลัง ในขณะที่ฉันกำลังกวาดเศษใบไม้ในสวนหลังตึกเรียนอยู่อย่างเหม่อลอย ฉันสะดุ้งเล็กน้อยที่จู่ๆก็ถูกทักขึ้นมาด้วยเสียงแบบนั้น จึงหันไปตอบกลบเกลื่อนเรื่องฟุ้งซ่านที่คิดอยู่ว่า
“งะ...ไง อรุณสวัสดิ์ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่า มาโดกะเองก็มีวันที่ขี้เซาอยู่เหมือนกัน...”
ดูเหมือนกับว่าฉันจะลืมซ่อนอะไรบางอย่างบนใบหน้าของฉันไป ทันทีที่หันหน้าไปหา เพื่อนคนนี้ของก็กลับทำหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะวาดนิ้วชี้จากมือข้างหนึ่งขึ้นมาเพื่อที่จะปาดเช็ดคราบน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ฉันที่เพิ่งจะรู้สึกตัวก็รีบ ชิงยกมือขึ้นข้างหนึ่งเช็ดมันออกก่อนโดยเร็ว ก่อนที่จะพูดกลบเกลื่อนซ้ำลงไปอีกว่า
“โอ๊ย อะไรเข้าตาเนี่ย เดี๋ยวขอไปห้องพยาบาลก่อนนะ มาโดกะฝากที่เหลือด้วยล่ะ”
“อ๊ะ...เดี๋ยวซิ ซายากะจัง...”
ว่าแล้วฉันก็ยื่นไม้กวาดให้กับเธอไป ก่อนที่จะรีบวิ่งหลบออกมาจากตรงนั้นไปอย่างไม่สนใจเสียงทักท้วงที่ตะโกนไล่หลังมา
บ้าจริงๆเลย ฉันเนี่ย บ้าจริงๆ ทำไมเราดันมาร้องไห้เสียน้ำตาให้กับคนแบบยัยนั่นด้วยนะ ไม่เข้าใจเลยเลย
ฉันที่พร่ำนึกตำหนิตัวเองอยู่แทบจะตลอดทางที่วิ่งเข้ามาที่ห้องน้ำ ก็ได้รี่ตรงไปที่อ่างล้างหน้า แล้วยกมือขึ้นเลื่อนแถบเซนเซอร์เปิดน้ำออกมาเสียจนแรงสุด พร้อมกับก้มตัวลงใช้มือทั้งสองวักน้ำที่ไหลโกรกนั้นขึ้นมาล้างใบหน้าของตัวเอง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองภาพสะท้อนของตัวเองปรากฏขึ้นในกระจกแล้วก็เริ่มคิด
ทำให้มาโดกะเป็นห่วงอีกแล้วสินะ ฉันน่ะ โธ่โว้ย...ทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้เนี่ย ทั้งๆที่มาโดกะยอมทำพันธะสัญญากับมันเพื่อช่วยดึงพวกเราทั้งสามคนให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้งแท้ แต่เรากลับทำให้เธอต้องมาเป็นทุกข์อีกเพราะว่ายัยนั่นน่ะ เพราะว่า...เคียวโกะน่ะ...
“โทษที ที่ต้องทำแบบนี้นะ ซายากะ เธอน่ะ...มีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ”
ตัวฉันที่หวนนึกถึงคำพูดสุดท้ายของเธอคนนั้น ก็ไม่อาจห้ามน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลออกมาได้ ฉันทรุดตัวลงกอดเข่าของตัวเองอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเริ่มสะอื้นเสียใจออกมาอย่างเงียบๆ
โดยที่ฉันไม่ได้ใส่ใจ เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทำความเคารพอาจารย์ที่เข้ามาสอนวิชาสุดท้ายของวันนี้เสร็จ สิ่งเดียวที่ฉันอยากจะทำก็คือเก็บของเข้ากระเป๋า แล้วรีบไปให้พ้นๆจากที่แห่งนี้เสียที ฉันเบื่อและหน่ายกับการที่ต้องมาเสแสร้งทำเป็นมีความสุขต่อหน้าคนอื่นๆอีกต่อไปแล้ว พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขกันโดยที่ไม่เคยได้รับรู้เลยว่า ทุกๆวันที่พวกเขายิ้มกันได้แบบนั้นน่ะ คือของขวัญที่แสนล้ำค่าที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแท้ๆ
บางทีถ้าหากฉันไม่ต้องมาเจอกับชะตากรรมแบบนี้ล่ะก็ ฉันก็คงจะเป็นเหมือนกับพวกนั้นในตอนนี้ก็เป็นได้...ไปเที่ยวเตร่หลังเลิกเรียนกับเพื่อนๆ...ได้คุยหยอกล้อกันตามภาษาเด็กผู้หญิงด้วยกัน หรือไม่ก็ซักวันหนึ่งอาจจะได้คบกับผู้ชายดีๆสักคน แล้วเราเดินกลับบ้านด้วยกันหลังเลิกเรียน อาจจะนัดไปเที่ยวกันบ้างในวันหยุด มันคงเป็นอะไรที่มีความสุขมากเลยล่ะมั้ง สำหรับคนอย่างฉันน่ะนะ
แต่ตัวฉันในเวลานี้คงมีรู้สึกแบบนั้นไม่ได้อีกแล้วล่ะ เพราะว่าตัวฉันนั้นไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้วนี่นา ด้วยแหวนอัญมณีสีน้ำเงินที่สวมอยู่ตรงนิ้วกลางวงนี้เป็นตัวตอกย้ำได้เป็นอย่างดี ว่าดวงวิญญาณของตัวฉันที่ถูกแลกเปลี่ยนกับพันธะสัญญาของ “มัน” ไปแล้ว ทำให้ร่างกายของฉันในตอนนี้กลายเป็นเพียงหุ่นกระบอก ที่ถูกเชิดอยู่ด้วยสายใยที่แกล้งทำเป็นเชื่อว่า ”ยังมีชีวิตอยู่” เท่านั้นเอง
ไม่รู้ว่าทำไมเคียวโกะถึงช่วยฉันเอาไว้ ทั้งๆฉันมันไม่เหลืออะไรแล้วแท้ๆ ทั้งหัวใจของผู้ชายที่แอบชอบ ทั้งเพื่อนสนิทที่หักหลังแล้วแย่งชิงเอาไป หรือแม้กระทั้งชีวิตของตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ฉันก็ไม่มีเหลือ มาบอกให้ฉัน “มีชีวิตอยู่ต่อไป” แบบนี้น่ะ ใครก็ได้ช่วยตอบฉันทีเถอะ ว่าตุ๊กตาที่ไม่เหลืออะไรแล้วอย่างฉันจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไรกัน
“เลิกทำตัวแบบนี้สักทีเถอะ คนอื่นเค้าเป็นห่วงนะ”
เสียงของคำพูดที่เย็นยะเยือกแว่วเข้ามาในโสตประสาท ฉันที่รับรู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของน้ำเสียงนั้นเป็นใครก็รีบเลิกผ้าห่มผืนหนาออก แล้วลุกพรวดขึ้นจากเตียงไปแหวกผ้าม่านให้เปิดเพื่อมองหายัยนั่นทันที
เด็กสาวผมตรงสีดำยาวสลวยลับเป็นเงากับแสงแดดยามเย็น ได้เอียงคอมองขึ้นยังตัวฉันที่ยืนริมหน้าต่างด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยจนหน้าหมั่นไส้ พร้อมกับคำพูดขอร้องห้วนๆที่เอ่ยมาแล้วรู้สึกไม่น่าฟังอยู่ตามเคย
“ออกมาด้วยกันหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย”
แม้จะเป็นอคติของฉันเองล้วนๆ แต่ฉันก็ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ฉันไม่เคยถูกชะตากับยัยนี่เลยตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ทำไมน่ะหรือ ไม่รู้ซิ อาจจะเป็นเพราะว่าเธอคนนี้มักจะมีลับลมคมในซ่อนเอาไว้อยู่มากมาย และก็ที่ไม่คิดจะบอกหรือเตือนคนให้รู้เลยด้วย ราวกับว่าเธอไม่อยากที่จะเชื่อใจใครอีกแล้วอย่างงั้นล่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอเจออะไรมาบ้างในโลกก่อนหน้านี้ แต่ฉันว่ามันคงเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสน่าดู
ฉันเดินตามเธอไปอย่างเงียบๆ ด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก ภายใต้แสงสลัวๆของท้องฟ้าในยามเย็นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ฉันสังเกตเห็นว่าเธอยังสวมชุดเครื่องแบบและยังหิ้วกระเป๋าอยู่ แสดงว่าบางทีเธออาจจะยังไม่ได้กลับบ้านก็เป็นได้ พวกเรามาหยุดกันอยู่ตรงลานน้ำพุกลางสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆ ที่ซึ่งในตอนนี้เริ่มจะเปลี่ยวผู้คนลงไปแล้ว ฉันที่ชักจะทนรู้สึกรำคาญแม่คนนี้มากเกินพอแล้วก็จึงเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนว่า
“คิดตรงนี้คงไม่มีใครสนมาใจ พวกเราแล้วล่ะ...เอ้า มีเรื่องอะไรก็ว่ามา”เธอหยุดเดินลงอย่างนุ่มๆ ก่อนที่จะหันกลับมาสยายผมที่ถูกพัดมาด้วยสายลมอ่อนๆที่บังเอิญโบกพัดเข้ามา แล้วเริ่มพูด
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มยังไง แค่อยากจะมาบอกเฉยๆ ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดที่คุณจะต้องมาแบกรับไว้คนเดียว”
“อ่าฮะ พูดได้ดีหนิ ใครเป็นคนเขียนบทให้ล่ะ มาโดกะล่ะซิท่า...”ฉันแดกดันใส่
ทำให้ฝ่ายนั้นที่ได้ยินเข้าไปก็ถึงกับโกรธจนตัวสั่น เธอเม้มปากขบฟันจนแน่นพลางก้าวฉับเข้ามาง้างมือทำท่าจะตบหน้าฉัน แต่แล้วก็หยุดกึกลดมันลงก่อนที่จะกล่าวกับฉันต่อไปอย่างเก็บอารมณ์ว่า
“นี่ฉันพูดกับเธอดีๆแล้วนะ อย่าทำให้ฉันต้องเสียความรู้สึกมากไปกว่านี้เลยดีกว่า”
“ฮึ...ดีที่สุดที่ทำได้น่ะ มันแค่นี้เองน่ะเหรอ ไม่มีเรื่องอื่นจะพูดแล้วใช่มั้ย..ถ้างั้นฉันขอตัว”ฉันพูดตัดบทประชดใส่อย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะหันหลังกลับและทำท่าจะเดินจากออกมานั้น ยัยนั่นก็เรียกทักขัดขึ้นมาว่า
“เดี๋ยวก่อน...ยังมีอีกเรื่อง”
“อะไรล่ะ”
“ดูเหมือนว่าพวก “อินคิวเบย์เตอร์” เริ่มทำการเคลื่อนไหวเพื่ออะไรบางอย่างอยู่นะ เลยอยากจะมาเตือนคุณเอาไว้ก่อน ว่าอย่าทำอะไรโง่ๆ”ฉันเดือดปุดขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน แล้วก็มั่นใจว่าไม่ว่าใครก็ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน จึงพูดตอกกลับไปด้วยความเหลืออดว่า
“ถ้าคิดว่าตัวเองฉลาด เก่ง เพอร์เฟ็ค ซะขนาดนั้นล่ะก็ ทำไมไม่จัดการทุกอย่างซะเองเลยเล่า หรือถ้าเป็นห่วงชิวิตของคนอื่นเค้าจริงล่ะก็ ทำไมไม่ลองย้อนเวลาไปในตอนนั้นอีกรอบนึงแล้ว ก็ทำให้เคียวโกะไม่ต้องตายไปแบบนี้ซะซิ”
ฉันที่ตะโกนพูดออกไปอย่างเหลืออดจนต้องถึงกับหอบแฮ่กๆ ก็ได้สูดลมหายใจยาวๆเข้ามาเฮือกหนึ่งก่อนที่จะกล่าวต่อไป ด้วยความที่รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า
“คงทำไม่ได้ล่ะซิ เพราะอย่างเธอน่ะ นอกจากมาโดกะแล้ว ชีวิตคนอื่นก็ไม่มีค่าเลย ฉันพูดถูกมั้ยล่ะ อาเคมิ โฮมุระ”
“ไม่ใช่นะ...”เธอปฏิเสธทันควัน ก่อนที่จะขึ้นเสียงใส่ฉันกลับมาบ้างว่า
“ฉันแค่ไม่อยากให้การเสียสละของเคียวโกะต้องสูญเปล่าต่างหากล่ะ แล้วก็เรื่องย้อนเวลากลับไปช่วยน่ะ ถ้าคิดว่ามันทำได้และง่ายดายนักล่ะก็ ฉันก็คงทำไปแล้วล่ะ”
ไม่รู้เหมือนอะไรมาเข้าสิงเธอคนนี้ ดูเหมือนกับว่าน้ำเสียงเธอพูดกับฉันเมื่อกี้มันต่างกับตอนแรกราวกับว่าเป็นคนล่ะคนกันยังงั้นล่ะ ในระหว่างที่ฉันยังกำลังตั้งตัวไม่ติด เธอคนนั้นก็ปรับบุคลิกให้กลับไปเป็นแบบเดิมอีกครั้ง ก่อนที่จะเอ่ยทิ้งท้ายให้กับตัวฉันเอาไว้ว่า
“ใช่...ฉันรู้ดี...ว่าคุณคงไม่ชอบหน้าฉันสักเท่าไร เพราะงั้นจะเกลียดฉันฉันก็ไม่ว่าหรอก แต่ถือว่าฉันขอร้องล่ะกัน ช่วยเห็นค่าของชีวิตที่ได้คืนมาสักนิดก็ยังดี”แล้วเธอก็สะบัดหน้าเดินจากไป
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะจุดยืนเราของมันต่างกัน หรือว่าเรามองโลกนี้จากคนล่ะด้านกันแน่ ทำไมอาเคมิถึงคิดว่าการมีชีวิตอยู่ โดยที่แบบรับความเจ็บปวดเอาไว้แบบนี้เป็นชีวิตที่จะมีความสุขกันล่ะ ไม่ไหว...ฉันทำตัวเองให้คิดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ เพราะฉันสร้างปาฏิหาริย์แบบที่ยัยนั่นทำให้กับมาโดกะไม่ได้นี่นา และต่อให้ทำได้ฉันก็กลัวที่ใช้มันเพื่อคนอื่นอีกครั้งอยู่ดี
เย็นวันต่อมาตัวฉันที่ชักจะรู้สึกอืดอาดลงไปทุกวันๆจากการที่เอาแต่หมกตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ก็ได้นึกอยากลองออกมาฝึกซ้อมกระบวนท่าการต่อสู้ของสาวน้อยเวทมนต์ดูอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่เหลือแม่มดให้กำจัดอีกต่อไปแล้วก็ตาม แต่บางทีการใช้เวทมนต์บ่อยๆครั้ง มันก็อาจจะช่วยให้ตัวฉันหายไปจากโลกแห่งนี้เร็วขึ้นก็เป็นได้
ฉันสร้างมิติปิดกั้นของตัวเองขึ้นมาที่โบสถ์ร้างแห่งนั้น ซึ่งเป็นสถานที่ๆเคียวโกะได้เล่าเรื่องราวของตัวเธอให้ฉันฟัง ท่ามกลางเสียงบรรเลงดนตรีออร์เครสต้าในมิติที่ฉันสร้างขึ้นมา ฉันก็เริ่มวาดปลายดาบที่นิมิตขึ้นมาตามท่วงท่าต่างๆ ครั้นพลันนึกไปการต่อสู้ครั้งที่ได้ปะทะกับเคียวโกะ จินตนาการของฉันก็สร้างภาพเงาของเธอขึ้นมา ฉันขยับคมดาบเข้าไปปะทะกับคมหอกของเงานั้นอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้จะรู้ดีว่าต้องแพ้ แต่ฉันก็ยังจะลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ฉันทำแบบนี้ไปครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า จนจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองล้มทรุดลงไปกับพื้นกี่รอบแล้วกันแน่ จนกระทั่ง
เปรี้ยง! เฟี้ยว!!!
เสียงที่เหมือนการลั่นไกของปืนไรเฟิลดังขึ้นมาจากมุมมืดด้านหนึ่ง ยังไม่ทันที่จะได้รู้ตัว ฉันก็หันควับกลับไป พร้อมกับเหวี่ยงคมดาบขึ้นปัดลูกกระสุนกลมๆที่พุ่งเข้ามา ทันใดนั้นก็ได้มองไปเห็น หญิงสาวผมสีทองที่ดันลอนเป็นจนเกลียว พร้อมกับปืนคาบศิลากระบอกยาวที่ดูเข้ากันกับชุดกระโปรงแบบตะวันตก เธอยิ้มให้กับฉันเล็กน้อย ก่อนที่จะโยนปืนกระบอกยาวที่กำลังโชยควันอยู่หมาดๆทิ้งไป พร้อมกับเดินเข้ามาทักทายฉันว่า
“อ้าว...ตายจริง นั่นคุณมิกิไม่ใช่เหรอ นึกว่าเป็นแม่มดที่ไหนกำลังอาละวาดอยู่ซะอีก”
“คุณมามิ...”ฉันเอ่ยชื่อของเธออย่างงงๆ แล้วลดดาบลง จากนั้นมิติปิดนี้ก็ค่อยๆคลายตัวออกอย่างช้าๆ
“เป็นอะไรไปเหรอ ทำไมถึงทำอะไรที่เหมือนกับว่ากำลังทำร้ายตัวเองอยู่แบบนี้ล่ะ”เธอถาม
“อ่า...คือว่าเรื่องนั้นมัน”ในระหว่างที่ฉันกำลังอ้ำๆอึ้งๆตอบอยู่นั้น พี่สาวตรงหน้าก็เดินไปรอบๆห้องโถงที่ซอมซ่อเหล่านั้น เธอพลางกวาดสายตามองไปรอบๆอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นมาอย่างลอยๆว่า
“มันคงจะเคยสวยงามมากเลยสินะ”
“เอ๋..!?.”
“อ้อ...ฉันหมายถึงที่นี่น่ะ เมื่อก่อนมันคงจะเป็นโบสถ์ที่ดีแห่งหนึ่งแน่ๆ”
“นั่นสินะคะ”ฉันกล่าวอย่างเห็นด้วยนิดๆ ก่อนที่จะเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกเกลียดชัง
“มันเป็นโบสถ์ของคุณพ่อของเคียวโกะน่ะค่ะ ท่านเสียไปแล้ว ด้วยสาเหตุมาจากเวทมนต์ของเธอนั่นล่ะค่ะ”
“ยังงั้นหรอกหรือจ๊ะ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ”เธอกล่าวด้วยสีหน้าสลด
“คุณมามิคะ? ขอฉันถามอะไรสักหน่อยได้มั้ย”
“เอาซิจ๊ะ ถ้าไม่ใช่สัดส่วนกับน้ำหนักล่ะก็ ฉันจะตอบให้หายสงสัยเลยล่ะ คิคิ”เธอรับปากพลางหัวเราะคิกคัก จนทำเอาฉันที่กำลังตีหน้าเครียดอยู่อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“แหม...คิดไปถึงไหนกันคะเนี่ย โธ่...”
“คิกๆ ฉันล้อเล่นนิดหน่อยน่ะ เอาล่ะ คำถามล่ะจ๊ะ”
“คือ...คุณมามิคะ คุณมามิคิดว่าเวทมนต์นี้มันคืออะไรกันแน่น่ะ ทั้งๆที่มันสร้างปาฏิหาริย์ช่วยคนอื่นๆได้ตั้งมากมาย แต่ในทางกลับกันมันก็ทำร้ายและพรากชีวิตใครบางคนไปด้วยเหมือนกัน ฉันไม่เข้าใจเลย ว่ามันเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีกันแน่น่ะ”
ฉันที่พูดความสงสัยที่มีอยู่ออกไปซะหมดเปลือก ก็ได้แต่เฝ้ารอคำตอบจากรุ่นพี่สาวที่เดินรับแสงแดดยามเย็นที่ส่องผ่านเข้ามาทางรูโหว่ต่างๆบนหลังคาโบสถ์ เธอหยุดเดินอย่างเชื่องช้าพลางหันมาตอบฉันด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆว่า
“เวทมนต์ก็คือพลังอย่างหนึ่งเท่านั้นล่ะจ๊ะ และพลังก็เป็นได้แค่พลังเท่านั้น จะทำให้เป็นอย่างอื่นก็คงไม่ได้ ส่วนพลังนั้นจะดีหรือจะไม่ดี มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้พลังนั้นทำอะไรและเพื่ออะไรต่างหากล่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นตัวฉันที่ได้รู้ดีว่าเจออะไรมาบ้างก็ถึงกับเผลอเถียงกลับไปอย่างไม่ทันคิดว่า
“แต่ว่า...ตัวฉันที่เคยทำแบบนั้นต้องถึงกับกลายเป็นแม่มดมาแล้วนะคะ หรือแม้แต่เคียวโกะเอง...แม้แต่เคียวโกะเองก็ต้อง...”
เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ ตัวฉันที่ไม่อาจพูดต่อไปได้ก็เริ่มร้องไห้ออกมาอย่างสะอึกสะอื้น รุ่นพี่หญิงตรงหน้าที่เห็นดังนั้นก็ได้ก้าวเข้ามาหาพร้อมกับยืนเช็ดหน้าเข้ามาให้ ฉันรับมามันซับน้ำตาอย่างรีบร้อน ก่อนที่จะได้ยินเธอกล่าวต่อไปว่า
“นั่นสินะ ความเป็นจริงบางทีมันก็ไม่สวยงามเสมอไปซะด้วยซิ ฉันเองบางครั้งก็เคยรู้สึกแบบนั้นมาบ้างเหมือนกัน อาจจะไม่เท่ากับที่พวกเธอเจอมาหรอกนะ แต่การที่เราเอาแต่โทษตัวเองว่า ทำอะไรไม่ได้เลย หรือไม่น่ามีชีวิตอยู่ต่อไปเลยนั้นน่ะ ฉันคิดว่ามันไม่ช่วยให้อะไรๆมันดีขึ้นหรอก”
“ฮึก...ฮึก...แล้วฉันควรจะทำยังไงดีล่ะคะ”ฉันถาม
“อืม...นั่นซินะ โดนถามกลับมาแบบนี้ ฉันเองก็แย่นา...”เธอกล่าวพลางกอดหน้าอกด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาเอ่ยด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า
“เอางี้...ลองเลิกคิดเรื่องนี้ แล้วทำใจให้ว่างดูสักวันหนึ่ง ถ้าเกิดว่าพรุ่งนี้ยังรู้สึกแย่ๆแบบนี้อยู่ เราค่อยมาหาทางอื่นดู ดีมั้ยจ๊ะ”
“จะทำได้เหรอคะ ฉันน่ะ”ฉันพูดไปด้วยความไม่แน่ใจ
“ต้องได้ซิ เพราะคุณมิกิน่ะ เข้มแข็งออก”
ถึงแม้จะรู้ดีเป็นแค่คำพูดปลอบใจ แต่มันก็พอจะช่วยให้ฉันมีกำลังใจที่จะลองดูขึ้นมาบ้างอยู่นิดนึง ฉันพักเรื่องทุกอย่างเอาไว้แล้วมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การทบทวนบทเรียนที่ขาดช่วงไปหลายสัปดาห์ มันเป็นตัวช่วยหยุดความคิดของฉันได้ดีมาก ฉันทุ่มเทให้กับมันจนผ่านไประยะหนึ่ง ใจที่เริ่มจะว่างๆนี้ ก็ค่อยๆทำให้ฉันนั้นเริ่มที่จะรู้สึกดีขึ้นมาทีล่ะน้อย
แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวมันจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น หลังจากที่ที่ฉันเริ่มจะทำใจยอมรับได้อยู่แล้วนั้น “เจ้านั่น” ก็กลับปรากฏตัวขึ้นมาในคืนๆหนึ่ง ในขณะที่ฉันกำลังทำการบ้านอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“ขอผมเข้าไปหน่อยได้มั้ย มีเรื่องสำคัญจะมาบอกน่ะ”
ฉันชักดาบขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น พร้อมกับตะหวิดหันควับไปจ่อที่หน้าของเจ้าสิ่งมีชีวิตประหลาดตัวหนึ่งที่หน้าต่าง มันมีรูปร่างเหมือนกับแมวสีขาว แต่มีหูที่ยืดยาวออกมาราวกับมือและมีห่วงคล้องวงใหญ่ที่ดูเหมือนกำไลข้อมือ มันมีหางที่ฟูเหมือนกับกระรอก ทันทีที่คมดาบจ่อไปที่หน้า มันหลับตาลงแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไร้ความเกรงกลัวว่า
“แย่จังเลยนะ นี่ยังคิดว่าผมเป็นศัตรูของพวกคุณอยู่รึไงเนี่ย”
“มีธุระอะไร”ฉันถามห้วนๆ
“ผมแค่จะนำสิ่งนี้มาคืนให้น่ะ คิดว่าเธอน่าจะอยากเก็บเอาไว้”มันตอบพร้อมกับหันไปใช้ใบหูหยิบอะไรบางอย่างที่มันวางเอาไว้อยู่ริมหน้าต่างขึ้นมาแล้วโยนมาให้กับฉัน
“นี่มัน...”ฉันเอ่ยอย่างตกใจนิดๆทันที่เห็นสิ่งนั้นในมือ
มันคือปิ่นปักผมที่รูปร่างคล้ายๆกับผีเสื้อ ซึ่งเป็นของเคียวโกะที่เธอใช้เสียบกับผมของเธออยู่เสมอๆ และดูเหมือนกับว่ามันจะเป็นของดูต่างหน้าพ่อของเธอด้วยเช่นกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้านั่นหาสิ่งนี้มาได้อย่างไร แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นเรื่องดี ที่ทุกๆอย่างของเธอไม่ได้มลายหายไปซะหมด
“ขอบใจที่อุตส่าเอามาให้ล่ะกัน แล้วก็เชิญกลับไปได้ล่ะ เพราะว่าฉันไม่อยากที่จะเห็นหน้านายอีก คิวเบย์”ฉันกล่าวไล่ส่งมันไปอย่างไม่ใยดี ก่อนที่จะหันหลังให้แล้วทำเป็นไม่ใส่ใจ
“เย็นชากันจังเลยนะ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าคุณพอใจกับแค่สิ่งนั้นล่ะก็ ผมก็คงหมดธุระแค่นี้ ลาก่อนนะ มิกิ ซายากะ”
“หมายความว่ายังไง”ฉันหันควับกลับไปถามทันทีที่ได้ยินมันพูดแบบนั้น
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นล่ะครับ ไม่คิดที่จะช่วยชีวิตของ ซากุระ เคียวโกะ บ้างเหรอ”มันถามกลับมาอย่างเล่นลิ้น
“ทำได้เหรอ!?” ฉันไปราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ
“ได้สิครับ”มันพยักหน้าตอบยืนยัน ก่อนที่จะเริ่มสารยายต่อ
“สาวน้อยเวทมนต์น่ะ ยังมีพลังที่อยู่เหนือหลักของเหตุและผลอีกมากมาย ซึ่งตัวผมเองก็ยังรู้ไม่ขอบเขตของพลังนี้เลยด้วยซ้ำไป คิดว่าคงยังจำแม่มดที่ชื่อ “วัลเพอร์กิส” ได้นะครับ เธอเป็นแม่มดที่เกิดจากแรงปรารถนานั้นนั่นล่ะครับ”
“จะบอกว่าให้เราแลกชีวิตกันยังงั้นเหรอ อย่ามาล้อเล่นหน่อยเลยน่า!”ฉันตวาดเสียงใส่มันด้วยความเกรี้ยวกราด แต่มันก็กลับตีหน้าซื่อแล้วหันหลังกลับพร้อมกับพูดทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
“อย่างที่คิดจริงๆ ว่าคุณจะต้องโกรธเมื่อได้ยินแบบนั้น ผมก็แค่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูลเท่านั้นล่ะครับ ส่วนคุณจะทำยังก็แล้วแต่จะตัดสินใจล่ะกัน”
ยังมีพลังที่อยู่เหนือเหตุและผลอยู่อีกมากมายงั้นเหรอ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคำพูดของมันนั้นจะต้องมีเงื่อนงำอย่างอื่นแฝงอยู่แน่ๆ แต่ฉันก็ไม่อยากที่ปล่อยให้มันไปเฉยๆแบบนี้
มันจะสำเร็จหรือเปล่านะ...ไม่รู้ซิ...ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง แต่อย่างน้อยก็ขอให้ฉันได้ลองกลับมาเชื่อใจและรักคนอื่นดูอีกสักครั้งก็ยังดี ต่อให้แม้จะต้องกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก ต่อให้แม้รู้ว่าใครๆก็จะต้องพากันสาปแช่งฉัน แต่ฉันก็ยอมให้คนที่เคยกอดฉันเอาไว้ในวันนั้น มาจากฉันไปแบบนี้ไม่ได้
ตัวฉันที่กลับมายังโบสถ์แห่งนั้นอีกครั้ง ก็ได้หยิบปิ่นปักผมรูปผีเสื้ออันนั้นขึ้นมากุมเอาไว้ในมือทั้งสอง ฉันปิดตาลงอย่างเชื่องช้าแล้วก็เริ่มอธิฐานถึงเธอด้วยใจอันเงียบสงบ แล้วหลังจากนั้นไม่นานมิติปิดที่เกิดจากคำอธิฐานนั้นก็ค่อยๆถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับกลืนฉันเข้าไปยังอีกโลกอีกใบหนึ่ง
ที่โลกใบนั้นเป็นเพียงเส้นทางเดินแคบๆที่มืดมิดและดูสับสนราวกับทางวงกตในสวนสนุก ตัวฉันที่เดินสำรวจมันไปอย่างช้าๆตามแสงไฟที่มาจากเชิงเทียนที่ประดับอยู่ตามผนังทั้งสองด้าน มันสว่างเป็นทางยาวเหมือนกับว่าจะนำฉันไปยังที่ไหนสักแห่ง ฉันเดินตามมันไปเรื่องจนกระทั่งไปสุดอยู่ตรงที่ประตูไม้บานหนึ่งที่สลักลวดลายตกแต่งเหมือนกับของในยุคยุโรปกลาง และเมื่อเปิดมันออก ฉันก็พบ
เบื้อหลังของประตูบานนั้นเป็นเหมือนกับห้องโถงในโบสถ์ที่ดูกว้างใหญ่ไพศาลชนิดที่เกือบจะสุดสายตา ที่อีกฟากหนึ่งตรงแท่นสวดมนต์ฉันเห็นเงามัวๆของกลุ่มเด็กตัวน้อยๆที่กำลังขับบทร้องเพลงสรรเสริญของพระแม่มาเรียอยู่ ท่ามกลางกลุ่มเงาของคนจำนวนมากที่กำลังนั่งรับฟังอยู่ราวกับว่าต้องมนต์สะกด ฉันก้าวเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกที่สัมผัสได้ ฉันแน่ใจว่าเธอจะต้องอยู่ที่ปลายสุดของห้องพิธีนี้อย่างแน่นอน ฉันก้าวเดินออกไปหามันอย่างช้าๆแต่ก็กลับต้องชะงัก ด้วยเสียงลั่นไกของกระสุนปืนที่รัวขึ้นมาถึงเกือบแปดนัด
ฉันกระโดดม้วนตัวกลิ้งหลบออกไปทางด้านข้าง จนหลังกระแทกเข้ากับขอบของเก้าอี้ม้านั่งไม้ตัวหนึ่งที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ ก่อนที่จะเหลือบไปเห็น สาวน้อยเวทมนต์สองคนที่ด้านหน้าของประตู
“ระวังหน่อยซิ อาเคมิซัง นี่พวกเราไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ แต่เรามาเพื่อหยุดเธอนะ”
รุ่นพี่สาวผมทอง ได้กล่าวตำหนิเด็กสาวผมยาวสีดำเข้ม ผู้ซึ่งเป็นคนยิงปืนมาใส่ฉันเมื่อครู่ เธอถอดคลิปกระสุนอันเดิมที่คงจะหมดแล้วในปืนพกกระบอกใหญ่ของเธอออก พร้อมกับเสียบอันเข้าไปด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเสียจนน่าโมโห ก่อนที่จะสะบัดมือสยายผมพูดมาใส่ฉันว่า
“สำหรับคนที่เตือนแล้วไม่ยอมฟัง ฉันว่าการขู่แค่นี้มันคงจะน้อยไปด้วยซ้ำ”
ระหว่างนั้นเองก็ได้มีเด็กสาวที่เป็นสาวน้อยเวทย์ตามเข้ามาสมทบอีกคนหนึ่ง มาโดกะที่ดูกระหืดกระหอบจากการตามสองคนนี้มาทีหลังสุด ก็ได้พูดขอร้องกับฉันว่า
“ซายากะจัง หยุดเถอะนะ มันไม่คุ้มกันหรอก”
“คุณคานาเมะ พูดถูกแล้วนะ คุณมิกิ ต่อคุณช่วยให้เด็กคนให้กลับมาได้ แต่ถ้าเธอรู้ว่ามันทำให้ต้องเสียคุณไปอีกครั้งล่ะก็ คุณคิดเหรอ ว่าเธอจะดีใจน่ะ”คุณมามิพูดเสริม
“อย่างที่คุณโทโมเอะ พูดนั่นล่ะ เลิกทำแบบนี้ซะเถอะ แล้วพวกเราค่อยมาคิดหาวิธีกันใหม่”อาเคมิที่ยืนอยู่หน้าสุดพูดอย่างเห็นพ้องด้วย
“ใช่แล้วล่ะ ซายากะจัง เลิกทำแบบนี้ซะเถอะ แล้วฉันจะช่วยด้วยอีกคนนะ”มาโดกะพูด
“ขอบคุณมากนะทุกคน แต่ก็ขอโทษด้วย เพราะว่าตัดสินใจแล้ว!!!”
แล้วฉันที่พูดออกไปอย่างแน่วแน่แบบนั้นก็แปลงร่างกลายเป็นสาวน้อยเวทมนต์เหมือนกับพวกนั้น แล้ววิ่งกระโดดตรงไปยังเบื้องสุดของปลายหนทางที่ฉันได้ตัดสินใจเลือกไปแล้วทันที
“ยัยจอมดื้อ เอ้ย”
“เดี๋ยวก่อน คุณอาเคมิ โธ่เอ้ย...คุณคานาเมะ อ้อมไปอีกทางนะคะ”
“อ่ะ...ค่ะ”
ยัยอาเคมิที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ยอมกันนั้น ก็ได้ดิ่งตรงเข้าหาฉันเป็นคนแรก เธอแว่บเข้ามาโผล่ดักหน้าของฉันไว้ พร้อมกับลั่นปืนพกสองกระบอกในมือใส่ฉันอย่างไม่มียั้งมือ
ฉันที่กระโจนหลบมันไปได้ได้อย่างทุลักทุเล ก็ได้ถูกยิงกดดันเข้าไปเสียทุกขณะ จนไม่สามารถวิ่งตรงต่อไปข้างหน้าได้อีก แม้ว่าฉันจะพุ่งดาบออกไปใส่เธอครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ด้วยขอได้เปรียบของการหยุดเวลาของเธอ ก็ทำให้การโต้ตอบของฉันพลาดเสียทุกครั้งไป แต่แล้วโอกาสโต้กลับของฉันก็มาถึง ฉันที่อาศัยช่วงกลิ้งม้วนตัวฝ่าคมกระสุนจนเข้ามาได้ใกล้พอ ก็ได้พุ่งตัวเข้าไปฟาดดาบทั้งสองเล่มเข้าใส่ม้านั่งตัวที่อยู่ใกล้ๆกับเธอจนกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
อาเคมิที่ดูเหมือนว่ายังไม่รู้ตัวว่าฉันคิดที่จะทำอะไร เธอกระโดดถอยออกมาจากตรงนั้นพร้อมกับยัดตลับลูกปืนชุดใหม่เข้าไปแล้วตั้งท่าจะยิงฉันซ้ำ เพื่อผลักดันให้ฉันถอยห่างออกไป แต่ทว่าฉันกลับพุ่งกระโดดเข้ามาหาเธอเสียแทน
คลิก...คลิก...คลิก
“โกหกน่ะ!”
เธออุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ ที่เพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้ว่าฟันเฟืองในโล่ที่ใช้ในการควบคุมเวลานั้น ได้ถูกเศษไม้จากม้านั่งที่ฉันตั้งฟาดให้กระจายใส่ เข้าไปขัดเสียจนหมุนไม่ได้แล้ว ดังนั้นฉันที่พุ่งเข้ามาประชิดนั้นจึงกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ เธอทิ้งอาวุธมือข้างหนึ่งไป เพื่อเอี้ยวตัวหลบคมดาบแรกที่ฉันฟันเข้ามาได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนที่จะใช้มือทั้งสองประกบปืนอีกกระบอกหนึ่งที่เหลืออยู่เพื่อหมายที่จะยิงตอบโต้ แต่ทว่าฉันที่เคลื่อไหวได้ไวกว่า ก็ได้กระแทกท้ายด้ามของคมดาบเข้าไปที่ท้องของเธอ ก่อนที่พลิกตีเธอซ้ำไปสันของคมดาบ จนเธอปลิวดิ่งจมลงไปกระแทกกับพื้น
อาจดูเหมือนว่าฉันจะชนะ แต่อะไรๆมันก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้น เพราะในเสี้ยววินาทีที่ฉันหวดเธอลงไปกับพื้นอยู่นั่นเอง ฉันก็เหลือบไปเห็นลูกกลมๆสีคล้ำที่ลอยเข้ามาตรงหน้า ก่อนที่จะได้รับรู้ว่ามันคืออะไร เจ้าสิ่งนั้นก็กลับระเบิดออกมาเสียก่อนแล้ว
ฉันที่ถูกเป่าเสียจนถอยกรูดลงมาก็ได้คลายผ้าคลุมสีขาวที่สะบัดขึ้นมาบังเอาไว้ออก ก่อนที่จะถูกกระหน่ำยิงซ้ำด้วยกระสุนปืนไรเฟิลและลูกศรของธนู ฉันที่วิ่งหลบหนีการยิงอาวุธเข้ามาของคุณมามิและมาโดกะ ก็ได้พยายามมองหาหนทางที่จะตอบโต้กลับ คมดาบจำนวนหนึ่งที่ฉันสร้างขึ้นมาได้ถูกขว้างออกไปรับการโจมตีของทั้งสองคน เป็นระยะๆ จนเมื่อฉันได้จังหวะ ฉันก็กระโดดพุ่งเข้าใส่คุณมามิที่ยืนยิงอยู่ท่ามกลางกองปืนคาบศิลาจำนวนมาก ที่ปักเรียงรายอยู่บนพื้นเพื่อรอให้เธอหยิบมาใช้
ดาบแรกที่ฉันฟันใส่เธอถูกบล็อกเอาไว้ได้ด้วยด้ามปืนที่เธอยกขึ้นมารับ เธอเหวี่ยงงัดมันขึ้น ก่อนที่ฉันจะได้โจมตีซ้ำไปในครั้งที่สอง เธอก็ตีพานท้ายของปืนใส่เข้าที่กลางตัวของฉันจนจุกกระเด็นถอยออกมา พร้อมกับมีเส้นใยเล็กๆสีทองจำนวนมากที่งอกขึ้นมาจากตามพื้นเข้ามารัดแขนขาของฉันเอาไว้ จนฉันไม่อาจที่จะดิ้นรนขัดขืนมันได้อีกต่อไป ปืนกระบอกหนึ่งในมือของเธอถูกยกขึ้นมาจ่อชี้หน้าของฉัน พร้อมกับคำพูดที่ตอกย้ำถึงความพ่ายแพ้ว่า
“พอแค่นี้เถอะนะ คุณมิกิ อย่าให้พวกฉันต้องใช้กำลัง เพียงแค่เพราะความดื้อด้านของคุณ มากไปกว่านี้เลย”
“หึ...สุดท้ายแล้ว คุณมามิก็ยังเป็นคนที่ฉันเอาชนะไม่ได้อยู่ดีสินะ เฮ้อ...เจ็บใจชะมัดเลย”
ในขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าพร่ำพูดอยู่ด้วยความเจ็บใจอยู่นั้นเอง มาโดกะที่เพิ่งจะเดินมาถึงจากอีกฟากหนึ่ง ก็ได้ยกมือขึ้นแตะลงบนไหล่ของฉันเบาๆพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ซายากะจัง หยุดพักซักหน่อยเถอะ...นะ แล้ววันข้างพวกเราค่อยมาพยายามกันใหม่ ด้วยวิธีที่มันดีกว่านี้ก็ได้”
“นั่นซินะ”ฉันกล่าวอย่างเห็นด้วย ก่อนที่จะพูดต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ว่า
“ซักวันหนึ่ง ฉันอาจจะทำได้ก็ได้!”
แล้วฉันก็ตวิดข้อมืออีกข้างที่ยังพอขยับได้อยู่นิดหน่อย ให้คมดาบที่ถืออยู่ตัดเส้นใยเหล่าให้ขาดออกจนพอที่จะพลิกตัวขยับไปกระชากมือของเพื่อนสาวผมสีชมพูที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังให้เหวี่ยงไปกระแทกตัวเข้ากับรุ่นพี่สาวที่กำลังจะลั่นไกอยู่ตรงหน้า ทั้งสองล้มลงเสียงหลงด้วยความตกใจ พร้อมกับเสียงลั่นของปืนที่หวิดถูกหน้าของฉันไปนิดเดียว จากนั้นฉันก็เริ่มออกวิ่ง
“ซายากะจัง!!!”
“คุณมิกิ”
“ทั้งสองคน ถอยออกมา!!”
เสียงตะโกนที่รีบร้อนของใครอีกคนที่ฉันคิดว่าไม่จะมาโผล่มาตอนนี้ก็ได้แว่บขึ้นมา ฉันที่เหลียวหันไปดูด้วยความตกใจก็ได้เห็น ความร่างบางๆที่ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับเงาวัตถุทรงกระบอกที่ถูกยืดให้อยาวออกมาประทับบ่าพร้อมกับหัวของจรวดมิสไซล์ที่ถูกดีดผึงออกมายังตัวฉันที่อยู่ด้านล่างทันที
ตูม!!!!
แรงระเบิดที่ปุทะขึ้นได้อัดร่างฉันที่ไม่ทันได้ไหวตัวทันเสียจนปลิวกระเด็นไปพร้อมกับเศษสะเก็ดจำนวนมากที่กระจายออกมา ฉันพยายามที่จะได้ตะเกียกตะกายให้ลุกขึ้นมา พร้อมกับวิ่งกระโผกกระเผกฝ่าควันเปลวเพลิงเหล่านั้นไปยังจุดหมาย แต่ทว่าทันทีที่ฝุ่นควันเหล่านั้นเริ่มจางลงฉันก็กลับเห็น
เงาลางๆของสาวน้อยเวทมนต์ในชุดกระโปรงที่ดูฟูฟ่องสดใส ที่กระโดดเข้ามาขวางหน้าฉันไว้พร้อมกับคันธนูในมือที่ง้างลูกศรแห่งแสงสีชมพูขึ้นมา เพื่อหมายที่จะหยุดฉันให้ได้ ฉันที่ไม่คิดยอมถอยอีกต่อไปแล้วก็ได้จับดาบที่คงจะปลิวเข้ามาปักอยู่บนพื้น พร้อมกับคำรามวิ่งเข้าไปหาเธออย่างสุดเสียง
“ขอโทษนะ ซายากะจัง”
ด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่เสียจนดูน่ากลัวว่าของเธอนั้น สายธนูที่ถูกง้างเอาไว้จนตึงก็ถูกปล่อยให้ดีดอาวุธของมันออกมา ลูกศรแห่งแสงดอกนั้นพุ่งทะลุร่างของฉันไปอย่างไร้ความลังเล ตัวฉันที่ล้มลงอย่างหมดแรงขัดขืน ก็ได้แต่นอนมองพื้นที่ค่อยถูกย้อมด้วยกองเลือดอย่างช้าๆ ก่อนที่ทุกๆอย่างจะกลายเป็นความมืดมิด
ทำไมกันล่ะ นี่ฉันทำอะไรผิดไปยังงั้นเหรอ ทำไมพวกเธอถึงได้ต้องเข้ามาขัดขวางฉันจนถึงขนาดนี้ด้วย ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยให้ฉันหายๆไปซะทำไม...
“นั่นก็เพราะว่าเธอมันโง่ไงล่ะ ยัยเซ่อ เอ้ย”เสียงของคำตอบแว่วเข้าในท่ามกลางความมืด
เอ๋...!
“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ หรือว่าต้องให้ฉันอัดเธออีกสักทีหนึ่ง ถึงจะยอมรู้เรื่องน่ะ...หือ”
เสียงนั้นตอบกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ราวกลับว่าจะหาเรื่อง ฉันที่ชักจะหมดความอดทนกับการถูกว่าแบบนี้ ก็ได้ลุกขึ้นมายืน แล้วกวาดสายตามองหาต้นทางของเสียงนี้ เสียงที่ฉันรู้จัก เสียงที่ฉันจำมันได้ดี เสียงของเคียวโกะ
“หนึ่งคำก็โง่ สองคำก็โง่ นี่เธอพูดกับคนที่คิดจะช่วยเธอแบบนี้ยังงั้นน่ะเหรอ”ฉันพยายามเถียงโต้ตอบ
“แล้วจะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไรดีล่ะ กับคนที่ทำผิดซ้ำผิดซากอย่างเธอน่ะ”
แล้วฉันจะไปรู้เธอเรอะ...ฉันที่นึกเถียงกลับอยู่ในใจอย่างเงียบๆ ก็ได้ลองคิดย้อนกลับไปดูอีกครั้งหนึ่ง มันอาจจะจริงอย่างที่เธอพูดก็ได้ เพราะว่าฉันในตอนที่คิดจะช่วยใครสักคนนั้นน่ะ ฉันไม่เคยคิดหน้าคิดหลังให้ดีเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะว่าฉันเชื่อว่าถ้ามัวแต่ลังเลอยู่แบบนั้นล่ะก็ ฉันอาจจะไม่มีความกล้าพอที่จะช่วยเหลือใครอีกก็เป็นได้ ในขณะที่ฉันกำลังนึกทบทวนกับตัวเองอยู่นั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครสักหนึ่งแว่วเข้ามาหา พร้อมกับคำพูดนั้นที่กล่าวต่อไปว่า
“ดื้อด้าน หัวแข็ง ไม่เคยฟังใคร รู้บ้างมั้ยว่าไอ้คนที่คิดแบบนี้ส่วนใหญ่เนี่ย มักจะพบจุดจบที่ ถ้าไม่พาตัวเองไปตาย ก็พาคนอื่นไปตายแทนน่ะ”
“เคียวโกะ...”
เธอเดินเข้ามา แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าฉันที่เหลียวหันไปหา ด้วยด้ามหอกที่ถือพาดอยู่บนไหล่กับอัญมณีประดับบนด้านคมที่กำลังเปล่งแสงสว่างสลัวๆราวกับเชิงเทียน พร้อมกับภาพลักษณ์ที่ต้องถือของกินเคี้ยวอยู่ในปากตลอดเวลา แม้เธออาจจะดูแปลกตาไปสักนิดที่เส้นผมที่กระเซิงๆเหล่าถูกปล่อยให้ยาวลงมาอย่างเป็นอิสระ แต่ฉันก็ยังคงบอกได้ว่านี่เป็นเธอจริงๆอย่างแน่นอน เธองับกินขนมรูปปลาที่เหลืออยู่ในมือให้หมดในคำเดียว ก่อนที่จะยื่นมาข้างนั้นมาให้ฉันก่อนที่จะเอ่ยว่า
“ไง...ไม่คิดที่จะมากอดฉันซักหน่อยเหรอ อุตส่าพยายามซะนี้ทั้งที”
“จะบ้าเหรอ จะเค้าจะไปกอดคนอย่างเธอเล่า”ฉันตอบปัดไปอย่างอารมณ์เสีย ก่อนที่จะได้ยินเธอพูดตัดเพ้ออย่างล้อเลียนนิดๆว่า
“เฮ้อ...เธอนี่มันไม่น่ารักเอาซะเลยแฮะ”จากนั้นเธอก็ลดมือที่ยื่นมาให้นั้นลงไปเท้าเอว แล้วเสนอทางเลือกของฉันขึ้นมา
“แล้ว...จะเอาไงต่อล่ะ จะทิ้งชีวิตในโลกใบนั้นไปเสีย แล้วมาอยู่กับคนตายอย่างฉันที่นี่ตามที่ตั้งใจไว้ หรือจะเปลี่ยนใจทิ้งฉันที่ตายไปแล้วไว้ที่นี่แล้วกลับไปที่นั่นอีกครั้งนึงล่ะ เพราะยังไงเสียตัวฉันที่ตายไปแล้วในโลกนั้นน่ะ คงกลับไปพร้อมกับเธอไม่ได้หรอกนะ”
“ฉันไม่รู้...ฉันไม่รู้จะกลับไปที่นั่นอีกทำไม เพราะฉันไม่เหลืออะไรแล้วนี่นา”
“จะจริงเร้อ...”
เคียวโกะเอ่ยขึ้นมาราวกับว่าไม่คิดที่จะเชื่อ เธอจึงหันกลับไปแล้วลงมือทำอะไรบางอย่าง เธอหยิบขนมอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมาคาบเอาไว้ ก่อนที่จะเหวี่ยงคมหอกนั้นไปมาสามสี่ครั้ง แล้วมิติที่มือมิดนี้ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นโลกสีขาวที่เวิ้งว้างสุดสายตา พร้อมกับภาพของทั้งสามคนที่เพิ่งจะต่อสู้กันมาในอีกโลกหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า ในท่ามกลางความสิ้นหวังของฉันที่อยู่ในโลกแห่งนี้นั้น พวกเธอกลับกำลังพยายามช่วยตัวฉันที่ไม่ได้สติแล้วในโลกแห่งนั้นกันอย่างสุดกำลัง
“ทุกคน...ทำไมล่ะ”
“พวกเค้าคิดว่าเธอเป็นเพื่อนน่ะซิ ถึงได้พยายามกันซะขนาดนั้น เห็นแบบนี้จะพูดแบบเดิมอีกรึเปล่าล่ะ ว่าไม่เหลือใครอีกแล้วน่ะ”
ทำไมพวกเขาจึงทำแบบนั้นกันล่ะ ทำไมถึงต้องพยายามช่วยฉัน ทั้งๆที่ฉันเพิ่งทำเรื่องโหดร้ายกับพวกเขาไปแท้ๆ ทั้งๆที่ฉันเอาแต่ใจ ดื้อรั้น แล้วเอาแต่สร้างปัญหายุ่งยากมาโดยตลอด แต่พวกเขาก็ยังคิดว่าฉันนั้นเป็นเพื่อน และก็อยากให้ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไป นี่ทำไมถึงไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้นะ ให้ตายซิ ฉันนี่มันโง่จริงๆเลย
ในระหว่างที่ฉันกำลังร้องไห้นึกโทษตัวเองอยู่นั่นเอง เพื่อนสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็เหมือนจะอ่านใจฉันออก เธอเดินเข้ามาตบมือลงที่หัวไหล่แล้วพูดกับฉันว่า
“จะเสียใจ หรือมารู้สึกตัวได้เอาตอนนี้มันก็ดีแล้วล่ะ เพราะว่าสักวันหนึ่ง เธออาจจะต้องได้เจอกับอะไรที่มันสาหัสเสียจนไม่มีโอกาสให้มาเสียใจแบบนี้ก็ได้นา...”
“แต่ว่าเธอน่ะ...ฮึก...พอฉันคิดว่าฉันเหตุให้เธอต้องมาเป็นแบบนี้คนเดียวนะ...มัน...”
ฉันที่พยายามจะสะอื้ตอบแย้งเธอไปนั้นก็ได้ถูกอ้อมแขนทั้งสองของเธอนั้นโอบเข้ามากอดอย่างปลอบโยน พร้อมกับคำพูดที่เข้มแข็งของเธอนั้น ก็ได้กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันไปหรอกน่า ถึงอยู่คนเดียวแบบนี้จะเหงาไปซักหน่อย แต่อย่างน้อยฉันก็ยังดีใจนะ ที่เห็นเธอเข้มแข็งกว่ากว่าแต่ก่อนเยอะเลย อ่า...คงได้เวลาที่เธอต้องตื่นแล้วล่ะนะ เอาไว้พบกันใหม่นะ ซายากะ”
แล้วที่แห่งนี้ก็เริ่มสว่างจ้าขึ้น พร้อมๆกับการที่ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาโลกแห่งความเป็นจริงนี้อีกครั้ง ฉันกล่าวขอโทษมาโดกะ และอีกทั้งสองคนที่ฉันได้ทำเรื่องโหดร้ายลงไปทั้งน้ำตา ฉันเสียใจที่เอาแต่ดื้อรั้นไม่รับฟังคำพูดของพวกเขา จนทำให้พวกเขาเดือดร้อนกันจนถึงขนาดนี้ แต่จากนี้ไปตัวตนแย่ๆที่แล้วมาพวกนั้นของฉัน จะต้องค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน เพราะว่าฉันตั้งใจเอาไว้แล้ว ว่าต่อจากนี้ฉันจะขอเริ่มต้นกับมันใหม่อีกสักครั้ง เพื่อให้ชีวิตที่เด็กคนนั้นเสียสละให้มาไม่ต้องสูญเปล่าไปกับคนโง่ๆอย่างฉันอีกต่อไป
Mahou Shojo Madoka Magica Fanfiction
อีกหนึ่งบทสรุปของเรื่องราว Sayaka Route “ฉันนี่มันโง่ไม่เปลี่ยนเลย จริงๆ”
จบ
คุยกันท้ายเรื่อง
เฮ้อ ในที่สุดก็จบลงไปแล้วนะครับ สำหรับผลงานของซีรี่ย์แฟนฟิคมาโดกะ เรื่องนี้ ขอบคุฯทุกๆที่ที่เข้ามาติดตามและติชมทุกคนมากนะครับ เพราะว่าทุกๆคำพูดที่คอมเม้นมานั้น เป็นกำลังใจที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนเขียนเรื่องของผม มาพูดเรื่องผลงานชุดนี้กันบ้างดีกว่า
สำหรับผมตอนที่เขียนนี้ผมยังไม่ได้ดูตอนที่ 11 และ 12 นะครับ เพราะงั้นข้อมูลบางอย่างในเรื่องอาจจะไม่ถูกต้องเท่าไร ก็ต้องขออภัยด้วย ซึ่งผลงานเรื่องนี้จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ค่อนข้างยากสำหรับผมเลยทีเดียวนะ เพราะการนำเสนอเรื่องใน Official นั้นมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะศิลป์เอามากๆ ทำให้การดึงเอาข้อเด่นๆของตัวละคร ทั้งการจัดเรื่องราวให้พวกเขาดำเนินเรื่องไปในฟิคนี้ ทำได้ค่อนข้างยากพอสมควร บางทีอาจเป็นเพราะผมพยายามทำให้ตัวละครหลักทุกคน เข้ามามีบทบาทให้ครบในเรื่องล่ะมั้ง แต่มันก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างท้าทายดีเหมือนกันสำหรับผมอ่ะนะ
อืม...ถ้าพูดถึง่สวนที่ยากสุดของเรื่องนี้ก็คงต้องเป็นบทของเคียวโกะกับซายากะ ล่ะนะ เพราะในเรื่องตั้งแต่ตอน 1-10 บทของสองคนนี้นั้นถือว่าเป็นพล็อตรองซะมากกว่า เลยทำให้ต้องคิดแก้เอาเองเยอะเลย อ้าก็ที่พิมพ์มานี้ก็ชักจะยาวล่ะ ยังไงก็ขอขอบคุณทุกๆท่านอีกครั้งนะครับ ที่เข้ามาอ่าน แล้วเอาไว้ผมจะพยายามสร้างผลงานขึ้นมาอีกเรื่อยๆนะครับ (ลองรีเควสดูก็ได้นะ ถ้าผมคิดเรื่องออกจะลองเขียนให้^^)
ผลงานอื่นๆ ของ hawkin1988 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ hawkin1988
ความคิดเห็น